ทริคเลือกประกันสุขภาพเบื้องต้น “ประกัน” แต่ละประเภทก็มีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันออกไป การเลือกประกันจึงไม่ใช่อะไรก็ได้ และไม่มีประกันไหนที่เจ๋งสำหรับทุกคน การเลือกประกันให้เหมาะ และไม่สับสนกับคำเชิญชวนหรือคำโฆษณาจากคนอื่นๆ จึงต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจ “ผลิตภัณฑ์ประกัน” ก่อนตัดสินใจ
โดย ประกันมีคุณสมบัติที่ช่วยเรื่องการจัดการเงินได้ใน 4 มิติ ที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณา ดังนี้
1. คุ้มครองสุขภาพ
ประกันที่คุ้มครองสุขภาพ คือประกันประเภท “ประกันสุขภาพ” “ประกันโรคร้าย” ซึ่งจะครอบคลุมปัญหาใหญ่ที่ทุกคนต้องเจอ นั่นคือค่าใช้จ่ายสุขภาพโต 7-8% ต่อปี โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชน
สำหรับคนที่สนใจทำประกันสุขภาพ ต้องมอง 4 เรื่องนี้เป็นหลัก เพื่อให้เห็นภาพชัดว่า การทำประกันสุขภาพของเรานั้นควรครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง ประกอบด้วย
– จะใช้สิทธิรักษาที่โรงพยาบาลไหนได้บ้าง ครอบคลุมค่าห้อง หรือค่ารักษาโรคใดได้บ้าง โดยเบื้องต้น สำหรับผู้ที่มีสิทธิรักษาจากสวัสดิการในฐานะของพนักงานบริษัทอยู่แล้ว ลองตรวจสอบว่า สิทธิที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ก่อนทำประกันเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของตัวเอง
– ค่าชดเชยรายได้ ในกรณีที่ทำงานไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจของตัวเอง ถ้าป่วยแล้วทำงานไม่ได้สูญเสียรายได้
– เป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง ซึ่งปัจจุบันโรคร้ายแรงเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยได้ เช่นกัน
– ทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร นอนกับที่ทำไรไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ แม้โอกาสเกิดต่ำมาก แต่ถ้าเป็นจะเกิดผลกระทบเยอะมากเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวอาจจะส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวมาก และต้องใช้เงินดูแลจำนวนมากหากไม่มีประกันคุ้มครอง
ให้เริ่มจากวิเคราะห์ตัวเองแล้วไปเลือกสินค้าที่เหมาะกับเรา ประกันสุขภาพเสียทิ้ง แต่ไม่มีทางรู้ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะเกิดหรือไม่เกิด ถ้ามันเกิด จะควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ได้เลย แต่การที่เรารู้ค่าใช้จ่าย รู้เบี้ยที่ชัดเจน เราจะมีต้นทุนในการประกันสุขภาพเท่าไร เรากำหนดตัวเองได้ กำหนดต้นทุนและแพคเกจที่เหมาะสม
2. ทุนประกันคุ้มครองชีวิต
ปัจจุบันคนไทยทำ “ประกันชีวิต” จำนวนมาก แต่ปัญหาที่พบ คือ ทุนประกันแค่หลักแสน ซึ่งตามความเป็นจริงอาจไม่เพียงพอสำหรับดูแลคนที่อยู่ข้างหลัง
การทำประกันลักษณะนี้ จะต้องเริ่มต้นจากการถามตัวเองก่อนว่า ทุนประกันชีวิตเท่าไรถึงจะพอสำหรับคนในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่และต้องการการดูแล
ดังนั้น เวลาซื้อประกันให้เหมาะกับเราเอง โดยอาจคำนวณจะทุนประกันที่เหมาะสม เช่น อาจคำนวณทุนประกันจาก 60% ของรายได้ ทำงานอีกกี่ปี แล้วจะมีทุนประกันเท่าไรให้คนข้างหลัง หรือใช้วิธีคำนวณจากค่าใช้จ่ายจริง ให้พ่อแม่ให้ลูกเท่าไรในแต่ละเดือน แล้วคำนวณว่าหากเสียชีวิตเราจะต้องมีเงินให้พวกเขาเท่าไร ซึ่งการวางแผนทำ “ประกันชีวิต” หากเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ยังมีเงินจุนเจือครอบครัวเหมือนกับว่าเรายังทำงานอยู่ตลอด ลูกหลานเอามาใช้ได้ตลอดเช่นกัน
3. ประกันสะสมทรัพย์
ข้อดีของ “ประกันชีวิต” ประเภท “ประกันสะสมทรัพย์” คือการช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน อย่างน้อยๆ 1% แต่มีข้อด้อยคือระยะเวลาค่อนข้างนาน เพราะว่าต้องมีระยะเวลาที่บริษัทกำหนดไว้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่กำหนด
ดังนั้นคนที่อยากทำประกัน เพื่อเน้นการสะสมทรัพย์ไปด้วย ต้องดูเป้าหมายทางการเงินของตัวเองว่าสอดคล้องกับประกันสะสมทรัพย์หรือไม่ หากพิจารณาแล้วว่าสอดคล้อง ค่อยไปหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเอง
4. วางแผนเกษียณสุข
“โสด” หรือ “ไม่โสด” ก็ต้องเกษียณอยู่ดี คำถามที่มักจะตามมาเมื่อพูดถึงการเงินหลังเกษียณ คือ “หลังเกษียณต้องใช้เงินเท่าไร แล้วเท่าไรถึงมากพอ” โดยอาจใช้สูตรคำนวณคร่าวๆ เช่น ตั้งธงเกษียณ 60 ปี จะมีชีวิตอยู่ถึงประมาณ 85-90 ปี อยากใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่เคยใช้ ขั้นต่ำที่เราควรมีคือ 60% ของรายได้หรือค่าใช้จ่ายปีสุดท้ายก่อนที่เราเกษียณ เป็นต้น
ส่วนประกัน ที่เหมาะกับการวางแผนเกษียณคือ “ประกันบำนาญ” ที่มีการันตีผลตอบแทนระยะยาว ถ้าอายุไม่ถึงทุนประกันถูกส่งต่อให้ลูกหลาน แต่หากยังมีชีวิตอยู่ก็มีเงินใช้เรื่อยๆ