โรคหัวใจขาดเลือดเกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยแต่ร้ายแรง

โรคหัวใจขาดเลือดเป็นหนึ่งในภาวะหัวใจและหลอดเลือดที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก เกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจลดลงเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน ซึ่งมักเกิดจากการสะสมของคราบไขมันที่เรียกว่าคราบพลัค ภาวะนี้อาจนำไปสู่อาการเจ็บหน้าอก หัวใจวายหรือแม้แต่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหากไม่ได้รับการรักษา

โรคหัวใจขาดเลือดหรือที่เรียกว่า กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นภาวะที่อันตรายและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในคนไทย
สาเหตุหลักของโรคหัวใจขาดเลือดคือ ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่คอเลสเตอรอลและสารอื่นๆ สะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดง เมื่อเวลาผ่านไป การสะสมนี้จะจำกัดการไหลเวียนของเลือดและลดปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงหลายประการมีส่วนทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่:
ระดับคอเลสเตอรอลสูง – LDL (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) มากเกินไปจะเพิ่มการก่อตัวของคราบพลัค
ความดันโลหิตสูง – บังคับให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดเสียหาย
การสูบบุหรี่ – นิโคตินและสารเคมีอื่นๆ ทำลายหลอดเลือดและเร่งการสะสมของคราบพลัค
โรคเบาหวาน – ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจส่งผลเสียต่อหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
โรคอ้วน – น้ำหนักเกินทำให้ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
วิถีชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว – การขาดการออกกำลังกายส่งผลให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและหัวใจทำงานน้อยลง
การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ – การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เกลือ และน้ำตาลสูง จะทำให้มีคราบพลัคสะสม
ความเครียด – ความเครียดเรื้อรังสามารถส่งผลต่อความดันโลหิตและจังหวะการเต้นของหัวใจ

อาการทั่วไปที่ต้องเฝ้าระวัง
โรคหัวใจขาดเลือดสามารถพัฒนาไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาการอาจไม่ปรากฏจนกว่าอาการจะรุนแรงขึ้น สัญญาณเตือนที่พบบ่อย ได้แก่:
อาการเจ็บหน้าอกหรือรู้สึกไม่สบาย (โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ)มักอธิบายเป็นความรู้สึกกดดัน หนัก หรือแน่นในหน้าอก
อาการปวดลามไปที่ไหล่ คอ ขากรรไกร หรือแขน
อาการหายใจไม่ออก – โดยเฉพาะขณะออกแรง
อาการอ่อนเพลียหรือเวียนศีรษะเนื่องมาจากร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง
อาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้หญิงและผู้สูงอายุ อาการอาจไม่ชัดเจนหรือผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ เหงื่อออก หรือเหนื่อยล้าผิดปกติ

โรคหัวใจขาดเลือดวินิจฉัยได้อย่างไร?
แพทย์จะใช้ทั้งประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย และการทดสอบวินิจฉัยร่วมกัน เพื่อยืนยันภาวะหัวใจขาดเลือด การทดสอบทั่วไป ได้แก่:
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG):บันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของหัวใจ
การตรวจเอคโค่หัวใจ:การใช้คลื่นอัลตราซาวนด์เพื่อประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ
การทดสอบความเครียด:ตรวจสอบการทำงานของหัวใจภายใต้การออกแรงทางกายภาพ
การตรวจหลอดเลือดหัวใจ:ให้ภาพหลอดเลือดหัวใจโดยละเอียดโดยใช้สีย้อมและเอกซเรย์
การสแกน CT หรือ MRI:ช่วยตรวจจับการอุดตันและประเมินสุขภาพกล้ามเนื้อหัวใจ

ทางเลือกการรักษาการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอุดตันและอาการ เป้าหมายคือการปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต:
เลิกสูบบุหรี่
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจโดยอุดมไปด้วยผัก ผลไม้ โปรตีนไม่ติดมัน และธัญพืชไม่ขัดสี
รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 30 นาทีเกือบทุกวัน)
จัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคนิคการผ่อนคลายหรือการทำสมาธิ

ยา:
ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
สแตตินเพื่อลดคอเลสเตอรอล
ยาบล็อกเบตาและยา ACE inhibitorเพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจ
ไนเตรตเพื่อบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก

ขั้นตอนทางการแพทย์หรือการผ่าตัด:
การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดและการใส่ขดลวดเพื่อเปิดหลอดเลือดแดงที่ตีบแคบ
การทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (CABG):เพื่อเปลี่ยนเส้นทางเลือดไปรอบๆ หลอดเลือดที่อุดตัน

การป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ การมีวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก นี่คือเคล็ดลับการป้องกัน:
ตรวจวัดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีเกลือและไขมันสูง
นอนหลับให้เพียงพอและจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
รักษาความกระตือรือร้นและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์

เมื่อใดจึงควรไปพบแพทย์
หากคุณรู้สึกไม่สบายหน้าอก หายใจลำบาก หรืออ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุซ้ำๆ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที การวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยชีวิตคุณและป้องกันความเสียหายของหัวใจที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

โรคหัวใจขาดเลือดยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของโลก แต่สามารถป้องกันได้เป็นส่วนใหญ่ด้วยการจัดการวิถีชีวิตและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดูแลสุขภาพหัวใจของตนเองได้ การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและการดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดมีชีวิตที่ยืนยาวและสมบูรณ์

บทเรียน:หัวใจของคุณคืออวัยวะที่สำคัญที่สุด จงปกป้องมันด้วยโภชนาการที่สมดุล การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้ชีวิตอย่างมีสติ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ อาจทำให้หัวใจของคุณแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้นในวันพรุ่งนี้