โรคเกลื้อนเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่ม Malassezia furfur ซึ่งเป็นเชื้อราที่ปกติก็อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราอยู่แล้ว แต่เมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้นให้เชื้อราเจริญเติบโตมากผิดปกติ จึงทำให้เกิดอาการของโรคขึ้นมาการรักษาสุขอนามัยที่ดีหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกันและการเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
สาเหตุสำคัญ
โรคเกลื้อนมักเกิดจากปัจจัยที่ส่งเสริมให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี เช่น:
สภาพอากาศร้อนชื้น: เป็นสภาพที่เหมาะกับการเติบโตของเชื้อรา
เหงื่อออกมากและอับชื้น: การมีเหงื่อและผิวหนังที่อับชื้นเป็นเวลานาน
ผิวมัน: เชื้อราจะกินไขมันจากรูขุมขนเป็นอาหาร
ภูมิคุ้มกันร่างกายที่ลดลง
อาการของโรคเกลื้อน
ลักษณะเด่นของโรคเกลื้อนคือ:
ลักษณะผื่น: ผื่นจะเป็นวงเล็ก ๆ หรือรวมกันเป็นปื้นใหญ่ มีขุยละเอียด
สีของผื่น: ผื่นจะมีสีแตกต่างกันไปจากสีผิวปกติ อาจเป็น สีขาว สีชมพู สีแดง หรือ สีน้ำตาล (จึงเป็นที่มาของคำว่า Versicolor)
เกลื้อนสีขาว มักเกิดจากการที่เชื้อราสร้างสารที่ไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว เมื่อหายแล้วรอยด่างขาวอาจคงอยู่ได้อีกหลายเดือนจนกว่าเซลล์เม็ดสีจะกลับมาทำงานตามปกติ
ตำแหน่งที่พบ: มักพบบริเวณที่มีต่อมไขมันมากและมีความอับชื้น เช่น ลำตัว (หน้าอก, หลัง), คอ, และ ต้นแขน
อาการ: ส่วนใหญ่อาจไม่มีอาการอะไรเลย หรือ คันเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่ออากาศร้อน
การรักษาโรคเกลื้อน
การรักษาเกลื้อนมีเป้าหมายเพื่อฆ่าเชื้อราและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งทำได้หลายวิธี:
ยาทาภายนอก:
ยาต้านเชื้อรา: เช่น ยาที่มีส่วนผสมของ คีโตโคนาโซลหรือ โคลไตรมาโซลทาบริเวณที่เป็นผื่นเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์/เภสัชกร
แชมพูฆ่าเชื้อรา: เช่น แชมพูคีโตโคนาโซล 2% สามารถใช้ฟอกทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และอาจใช้สัปดาห์ละครั้งเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ยาชนิดรับประทาน: ในกรณีที่ผื่นเป็นบริเวณกว้าง ลุกลาม หรือเป็นซ้ำบ่อย แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน
ข้อควรจำและการดูแลตัวเอง
ความสะอาด: อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและซับผิวให้แห้งทุกครั้ง
เสื้อผ้า: เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่คับแน่น และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเมื่อเหงื่อออกมาก หรือเปียกชื้น
ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ: เนื่องจากเชื้อราตัวนี้เป็นเชื้อประจำถิ่น การกลับมาเป็นซ้ำจึงเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย การใช้แชมพูฟอกตัวสัปดาห์ละครั้งตามคำแนะนำแพทย์จะช่วยได้
ปรึกษาแพทย์: หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาเบื้องต้น หรือไม่แน่ใจว่าเป็นโรคเกลื้อนจริงหรือไม่ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง
เมื่อใดจึงควรไปพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์หาก:
การติดเชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็วหรือครอบคลุมพื้นที่กว้าง
อาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษา2–4 สัปดาห์
มีการติดเชื้อที่เล็บหรือหนังศีรษะ ซึ่งรักษาได้ยาก
มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนโดยมีอาการหนอง บวม หรือเจ็บปวด
โรคกลากอาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่สามารถติดต่อได้ง่ายและอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหากไม่ได้รับการรักษา การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการและมาตรการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีสุขภาพที่ดี การรักษาสุขอนามัยที่ดี หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน และการเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยจัดการและป้องกันการติดเชื้อกลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ