ลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร เรามาถึงยุคที่การลดน้ำหนักสามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ เพิ่มความจำและลดโรคได้อีกด้วย ซึ่งวิธีนี้ติดเทรนด์มาสักพักในประเทศไทยแล้ว และนับวันก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น วันนี้เราเลยจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ “การลดน้ำหนักแบบ IF” หนึ่งใน วิธีลดน้ำหนักสุดฮิต แบบเจาะลึกกัน!
วิธีลดน้ำหนักด้วยการทำ Intermittent Fasting หรือที่เรียกสั้นว่า ๆ IF ไม่ใช่สูตรไดเอตใหม่ถอดด้ามซะทีเดียวค่ะ แต่เป็นวิธีลดน้ำหนักที่คนทั่วโลกนิยมใช้ลดความอ้วนกันกว่า 10 ปี แล้ว แต่ในไทยเราจะรู้จัก Intermittent Fasting ราว ๆ 6 ปีที่แล้ว และค่อนข้างจะมาบูมในช่วงปีนี้
โดยวิธีลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting เป็นแนวคิดของทีมแพทย์ นำทีมโดย Dr.Joseph Mercola นายแพทย์ผู้สนับสนุนแนวคิด Intermittent Fasting ซึ่งก็คือการลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารเป็นช่วงเวลา และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลาเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ หลักของ Intermittent Fasting ก็มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ 3 เงื่อนไขด้วยกัน คือ
1. ต้องงดอาหาร 1 มื้อในแต่ละวัน
2. หลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อดึก
3. กินอาหารตามปกติในช่วงเวลาไดเอต 8 ชั่วโมง
ทำไมทำ IF แล้วผอมลง?
จะบอกว่าประโยชน์หลัก ๆ ของการทำ IF คือ ช่วยยกระดับการเผาผลาญไขมันให้กับร่างกาย ดังนั้นน้ำหนักจากการสะสมของไขมันจึงลดตามไปด้วย โดยหลักการเผาผลาญคือ เมื่อเราอยู่ในช่วงอดอาหาร ระดับอินซูลินจะลดลง ระดับ Growth Hormone สูงขึ้น การอดระยะสั้นสลับกันไปนี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายได้ 3.6-14% เลยทีเดียว แถมยังช่วยลดไขมันสะสมรอบเอวโดยเฉพาะไขมันไม่ดี โดยไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเหมือนการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ
ทำ IF แล้วดียังไง?
นอกจากประโยชน์ที่ว่ามาแล้ว การทำ IF ยังมีประโยชน์อีกมากมาย นอกจากจะช่วยเรื่องลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยลดไขมันในเลือดได้โดยตรง อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน ความอ้วน และโรคมะเร็ง ช่วยยกระดับระบบความจำและสมอง รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้สุขภาพดีและอายุขัยยาวนานขึ้นนั่นเองค่ะ
เลือกอดอาหารแบบไหนดี?
มาถึงตรงนี้เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็ยังนึกไม่ออกว่าแล้วจะอดตอนไหน กินตอนไหนดี ถึงจะลดไขมันได้เร็วที่สุด เรามีมาให้เลือกด้วยกันถึง 6 วิธีเลย!
1. Lean Gains : วิธีนี้จะเป็นวิธีที่นิยมมาก รวมทั้งนิโคล คิดแมน และมิแรนด้า เคอร์ ก็ใช้สูตรนี้นะ วิธีก็คืออดหาร 16 ชั่วโมง และกิน 8 ชั่วโมง สำหรับผู้หญิงแนะนำว่าให้ อด 14 ชั่วโมง และกิน 10 ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ ปรับชั่วโมงอดให้มากขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้ว โดยจะเริ่มเวลาไหนก็ได้นะ สามารถเลือกช่วงเวลาได้ตามความเหมาะสมของตัวเราเลยค่ะ
2. Fast 5 : ฮาร์ดคอร์ขึ้นมาอีกนิด คือจะกินอาหารเพียงแค่ 5 ชั่วโมง และอดอาหาร 19 ชั่วโมงต่อเนื่องค่ะ
3. Eat Stop Eat : สำหรับการกินแบบนี้จะต้องอดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนวันที่อดก็สามารถกินได้ตามปกติตามจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการ แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับมือใหม่นะคะ เพราะจะทำให้เรากินมากขึ้นในวันต่อไปและทำให้อารมณ์แปรปรวนค่ะ
4. 5:2 : การกินแบบนี้คือ กินแบบปกติ 5 วัน กินแบบ Fasting 2 วัน โดยจะทำติดกัน 2 วันหรือห่างกันก็ได้ แต่ไม่ใช่การอดทั้งวันนะ แต่จะกินน้อยลงแทน คือผู้ชายสามารถกินได้ 600 Kcal ส่วนผู้หญิงกินได้ 500 Kcal หรือก็คือประมาณ 1/4 ของ Kcal ต่อวันนั่นเองค่ะ
5. Warrior Diet : เป็นการกินแบบอด 20 ชั่วโมง และกิน 4 ชั่วโมง หรือกินมื้อใหญ่มือเดียวนั่นเอง โดยจะเน้นกินเป็นโปรตีนและผักสด ส่วนในช่วงอดสามารถกินดื่มหรือกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำ ๆ ได้ค่ะ
6. ADF (Alternate Day Fasting) : คือการอดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งวิธีค่อนข้างฮาร์ดคอร์ที่สุด เพราะต้องอดอาหาร 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีกหนึ่งวัน โดยวันที่อดสามารถกินอาหารแคลอรีต่ำในปริมาณน้อย ๆ