สายพันธ์ุ โควิดกลายพันธุ์ วิกฤตสุขภาพที่ควรเข้าใจ ขณะที่ทั่วโลกรวมถึงไทยกำลังเดินหน้าเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต โควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ก็กำลังขยายอาณาจักรของตัวเองและเติบโตอยู่ตลอดเวลา จนเริ่มมีข้อสงสัยว่าจะกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้อยู่ปัจจุบันด้วยหรือไม่ เพราะความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันในร่างกายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องยกระดับให้เป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่น่าสนใจ (Variants of Interest หรือ VOI) และต้องจับตา
แม้ในปัจจุบันสายพันธุ์เดลตาจะยังเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดหนักไปทั่วโลก แต่สิ่งที่เรายังคงต้องจับตาคือการกลายพันธุ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาของเชื้อไวรัส เพราะหากพูดตามหลักวิทยาศาสตร์และกฎธรรมชาติทั่วไป ไวรัสถือเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ต้องมีการพัฒนาเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ จนล่าสุดได้มีการค้นพบ 5 สายพันธุ์โควิดกลายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดไกลจนโลกต้องจับตา
สายพันธุ์เดลตา พลัส (Delta Plus หรือ AY.1) โควิดสายพันธุ์ย่อยที่ขยายมาจากสายพันธุ์เดลตาปกติ ถูกค้นพบครั้งแรกในยุโรปและเริ่มแพร่ระบาดหนักในอินเดีย ทั้งยังถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์หนักที่น่ากังวลระดับโลก เพราะมีความสามารถในการหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และมีผลต่อการยึดเกาะเซลล์ในปอดง่ายขึ้นด้วยความรุนแรงของเชื้อ ซึ่งปัจจุบันกระจายรวดเร็วและยึดครองไปแล้วกว่า 80 ประเทศทั่วโลก
สายพันธุ์เดลตา 4 สายพันธุ์ย่อย (AY.4, AY.6, AY.10, AY.12) คือสายพันธุ์โควิดที่กลายพันธุ์แยกย่อยจากสายพันธุ์หลักมาอีกที แม้จะยังไม่ถูกยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตาในระดับโลก เพราะยังไม่พบความรุนแรงและการกระจายของเชื้อยังค่อนข้างเป็นวงแคบ แต่จากการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์เดลตา ยังทำให้ทราบต่อไปว่าได้มีการกลายพันธุ์จากเดลตาสายพันธุ์หลักไปเป็นสายพันธุ์ย่อยๆ อีกกว่า 27 สายพันธุ์ แต่ยังคงมีอาการแสดงไม่ต่างจากสายพันธุ์หลัก จึงต้องเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง
สายพันธุ์แลมบ์ดา (Lambda หรือ C.37) สายพันธุ์โควิดที่แม้จะยังไม่พบในไทย แต่ได้แพร่กระจายไปแล้วกว่า 30 ประเทศ ด้วยความสามารถของการแพร่เชื้อที่รวดเร็วยิ่งกว่าสายพันธุ์เดลตา ทั้งยังมีผลต่อประสิทธิภาพของแอนติบอดีบางตัวที่ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัสได้อีกด้วย แลมบ์ดาจึงถูกจับตาให้เป็นสายพันธุ์เฝ้าระวังการแพร่เชื้อในอนาคต และมีแนวโน้มว่าอาจถูกยกให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลต่อไปได้
สายพันธุ์เอปซิลอน (Epsilon หรือ B.1.427 และ B.1.429) สายพันธุ์โควิดที่พบการระบาดอยู่ใน 44 ประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป โดยได้มีการระบุลักษณะของสายพันธุ์เอปซิปลอนไว้ว่ามีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์ปกติราว 18.6-24.6% รวมถึงงานวิจัยในสหรัฐฯ ยังพบว่าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความสามารถพิเศษในการหลบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีนชนิด mRNA ลดลงได้ และล่าสุดองค์การอนามัยโลกก็ได้ยกระดับให้เอปซิลอนเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่น่าจับตาในที่สุด
สายพันธุ์โคลอมเบีย (Colombia หรือ B.1.621) หรือในอีกชื่อที่หลายคนเริ่มได้ยินกันบ่อยขึ้น อย่าง “สายพันธุ์มิว” โควิดสายพันธุ์ล่าสุดที่องค์การอนามัยโลกยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการดื้อต่อวัคซีนโควิด-19 ด้วยลักษณะการกลายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติในการหลบหนีจากภูมิคุ้มกัน จึงเป็นสายพันธุ์ที่ต้องศึกษาเพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น ซึ่งล่าสุดพบสายพันธุ์มิวแล้วอย่างน้อย 40 ประเทศ
รวมถึงโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจกำลังขยายอาณาจักรในหน้าตาแปลกใหม่ รอให้เราได้ค้นพบและทำความเข้าใจอยู่อีกมาก แม้เราจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ได้ แต่การเฝ้าระวังและรู้เท่าทันตัวเชื้อร้ายยังเป็นสิ่งที่เราอาจต้องเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดเช่นเดียวกัน
โควิดสายพันธุ์ใหม่ อันตรายกว่าสายพันธุ์เดิมแค่ไหน ?
เพราะจุดมุ่งหมายปลายทางของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือการตรงเข้าทำลายปอดเป็นส่วนใหญ่ ซ้ำร้ายในบางสายพันธุ์ยังไม่แสดงอาการใดๆ ให้เราได้ทันสังเกตไปอีก แต่ปัจจุบันก็ได้มีการเร่งศึกษาและค้นหาโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยับยั้งและสกัดการกลายพันธุ์ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการทำความเข้าใจในแง่ของความรุนแรงที่อาจมีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ร่วมด้วย
อาการและความรุนแรง จากข้อมูลเบื้องต้นจะสังเกตได้ว่าโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ จะโดดเด่นในเรื่องของความรวดเร็ว หรือการกระจายเชื้อที่ไวขึ้น จึงทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อในหลายๆ ประเทศ รวมถึงความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนทำให้ง่ายต่อการแทรกซึมเข้าสู่ระบบต่างๆ อย่างแนบเนียน
ประสิทธิภาพการทำงานของวัคซีน ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการหลบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้ทั้งจากการติดเชื้อ หรือการฉีดวัคซีน เมื่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ มีความสามารถในการหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกัน จึงอาจมีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนร่วมด้วยได้ และด้วยเพราะความใหม่และความหลากหลายของการกลายพันธุ์ ทำให้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าวัคซีนที่มีอยู่ก่อนนั้นจะป้องกันโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้ดีแค่ไหน
อีกทั้งปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่เอื้อต่อโอกาสของการติดเชื้อโควิด-19 ได้ตลอด เช่น ประสิทธิภาพของวัคซีน และการตอบสนองต่อวัคซีนในแต่ละบุคคล ซึ่งเชื่อมโยงกับสุขภาพพื้นฐานโดยรวมที่เป็นอยู่เดิม การเสริมภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องทั้งจากอาหาร ผัก ผลไม้ สมุนไพร และวิตามินเสริมต่างๆ เพื่อให้พร้อมรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ตลอดเวลา รวมถึงเรียนรู้วิธีรับมือหากติดเชื้อโควิดเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง