สุขภาพ ป่วยบ่อย อ่อนเพลียง่าย เพราะร่างกายขาดวิตามิน

สุขภาพ ป่วยบ่อย อ่อนเพลียง่าย เพราะร่างกายขาดวิตามิน ความว้าวุ่นใจของคนยุคใหม่ที่มักเข้าใจว่าทำงานหนักตลอดเวลา คือความ Productive บวกกับพฤติกรรมกระตุ้นต่างๆ ที่คนทุกวัยกำลังเผชิญอยู่มาก คือ การนอนดึก พักผ่อนน้อย และพฤติกรรมเนือยนิ่ง หรือการนั่งๆ นอนๆ ในทุกๆ กิจกรรมที่ทำเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่ตรงตามความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้สุขภาพเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เช่น ผิวแห้ง ผมร่วง นอนหลับยาก อ่อนเพลียเรื้อรัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือเป็นตะคริวบ่อยกว่าปกติ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจกระทบต่อความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทาน จนร่างกายเสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่ายมากกว่าเดิม

วิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกาย
แม้วิตามินและแร่ธาตุ จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดของสารอาหารรอง (Micronutrient) แต่ยังคงเป็นสารอาหารจำเป็นที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ 10 วิตามินและแร่ธาตุต่อไปนี้ที่ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายต้องขาด!

1.วิตามินเอ (Vitamin A)
หนึ่งในวิตามินสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพด้านการมองเห็น และการเจริญเติบโตต่างๆ เช่น กระดูก ผิวพรรณ เส้นผมไปจนถึงฟัน โดยปริมาณวิตามินเอที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายจะอยู่ที่ 900-1,000 ไมโครกรัมต่อวัน และในผู้หญิงอยู่ที่ 700-800 ไมโครกรัมต่อวัน

2.วิตามินบี (Vitamin B)
สารอาหารจำเป็นที่แยกย่อยออกไปได้อีกกว่า 13 ชนิด แต่สามารถพบได้ในรูปแบบของวิตามินบีรวม (Vitamin B complex) ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลร่วมด้วยได้ และมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของร่างกาย โดยแต่ละวันร่างกายควรได้รับวิตามินบีแต่ละชนิดไม่เกิน 25-50 มิลลิกรัมต่อวัน

3.วิตามินซี (Vitamin C)
สารอาหารสำคัญที่เด่นดังในการดูแลผิว ช่วยชะลอความแก่และลดริ้วรอย ทั้งยังมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของไข้หวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นวิตามินจำเป็นแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ ซึ่งในแต่ละวันร่างกายควรได้รับวิตามินซีให้ได้อย่างน้อย 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

4.วิตามินดี (Vitamin D)
หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ผ่านแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า โดยมีหน้าที่หลักในการควบคุมกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย จึงช่วยชะลอหรือป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูกได้ โดยในแต่ละวันร่างกายควรได้รับวิตามินดีไม่เกิน 50 ไมโครกรัม

5.วิตามินอี (Vitamin E)
หนึ่งในสารอาหารที่ถูกนำไปใช้ทางด้านความงามเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้เป็นอย่างดี ส่งผลดีต่อผิวพรรณ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยได้ โดยแต่ละวันควรรับวิตามินอีไม่เกิน 1,000 ไมโครกรัม

6.แคลเซียม (Calcium)
สารอาหารจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ ต้องอาศัยการดูดซึมแคลเซียมในระบบลำไส้เป็นหลัก โดยแคลเซียมจะคอยทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกได้ เช่น โรคกระดูกพรุน และกระดูกบาง โดยร่างกายควรได้รับปริมาณแคลเซียมอยู่ที่ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

7.ธาตุเหล็ก (Iron)
สารอาหารสำคัญที่ช่วยลดความรู้สึกอ่อนล้า อ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง จึงมีส่วนช่วยในการเสริมความแข็งแรงให้เม็ดเลือดในร่างกาย สามารถยับยั้งภาวะโลหิตจางได้ โดยแต่ละวันร่างกายควรได้รับธาตุเหล็กอยู่ที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อวัน

8.โพแทสเซียม (Potassium)
มีบทบาทสำคัญต่อปริมาณออกซิเจนที่ถูกนำไปเลี้ยงในสมอง จึงมีผลต่อความสามารถในการจดจำและการเรียนรู้ ช่วยบรรเทาความเครียดหรือความวิตกกังวลให้ลดลงได้ ถือเป็นอีกหนึ่งสารอาหารไฮไลต์ที่ช่วยเติมความรู้สึกผ่อนคลายให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับปริมาณโพแทสเซียมอยู่ที่ 2,000-3,000 มิลลิกรัม

9.แมกนีเซียม (Magnesium)
องค์ประกอบสำคัญที่มีอยู่ในโครงสร้างกระดูกทั่วทั้งร่างกาย มีหน้าที่สำคัญต่อการรักษาสมดุลแคลเซียมในกระดูกและในเลือด ทั้งยังมีส่วนช่วยในการเผาผลาญ เปลี่ยนไขมันและคาร์โบไฮเดรตไปเป็นพลังงานจำเป็น หากร่างกายมีปริมาณแมกนีเซียมเพียงพอ จะเป็นผลดีต่อการลดความรู้สึกเหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลียที่เกิดจากภาวะเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน โดยร่างกายควรได้รับแมกนีเซียมอยู่ที่ปริมาณ 300-800 มิลลิกรัมต่อวัน

10.ไอโอดีน (Iodine)
สารอาหารจำเป็นที่มีหน้าที่ควบคุมระบบประสาทและสมอง จึงเป็นสารอาหารแนะนำในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพื่อช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้และสมองในเด็ก ทั้งยังส่งเสริมการทำงานของหัวใจให้ทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ไอโอดีนยังเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมระบบเผาผลาญ จึงเปรียบเสมือนผู้ช่วยควบคุ