อะโวคาโด (Avocado) หรือ ลูกเนย เป็นผัก ผลไม้ที่เป็น”หัวใจของการทาน อาหารเพื่อสุขภาพ” ที่กำลังเป็นที่นิยม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Persea americana Mill
อะโวคาโด อาหารสุขภาพ
เป็นไม้ยืนต้น ต้นโตเต็มที่สูงถึง 18 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน ผิวขรุขระ ใบสีเขียวสด ดอกขนาดเล็ก สีเขียวอมเหลือง มีการค้าขายและเพาะปลูกในภูมิอากาศเขตร้อนทั่วโลก (และบางส่วนในเขตอบอุ่น เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย) มีผลสีเขียวหลังการเก็บเกี่ยว อะโวคาโดส่วนใหญ่จะเปลี่ยนสีเมื่อสุกแต่มีหลายพันธุ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนสีเมื่อสี แต่ให้สัมผัสหากผลนิ่มคือสุกพร้อมรับประทาน
อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากแต่คุณรู้หรือไม่ว่า อะโวคาโดมีหลายสายพันธ์ ซึ่งแต่ละสายพันธ์เนื้อสัมผัสและรสชาติก็แตกต่างกันไป
แม้ว่าผลอะโวคาโดน้ำหนัก 100 กรัม (ประมาณครึ่งผล) จะมีไขมันสูงถึง 14.66 กรัม ! (ถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นจะมีไขมันน้อยมากหรือไม่มีไขมันเลย) แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการรับประทานอะโวคาโดไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอื่นในปริมาณเท่ากัน แถมการรับประทานอะโวคาโดยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย และไม่ทำให้อ้วน
แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอะโวคาโดที่เราซื้อมารับประทานเป็นสายพันธ์ไหนและมีลักษณะอย่างไร แอดมินมีข้อมูลมาฝาก
อะโวคาโดแบ่งเป็น 3 เผ่า
1.เผ่ากัวเตมาลา ผลสีเขียว ขั้วผลขรุขระ เมล็ดเรียบเล็กค่อนข้างกลม เนื้อหนา ไขมันสูง ชอบอากาศหนาวเย็นปานกลาง
มีสองสายพันธ์ที่เป็นที่นิยมทาน ได้แก่
พันธุ์แฮส (Hass) ผลรูปแพร์ ผิวขรุขระมาก ผิวสีเขียวเข้ม เมื่อสุกอาจเป็นสีเขียวหรือม่วงเข้ม ผลมีขนาดเล็กน้ำหนักประมาณ 200-300 กรัมถือว่า เป็นพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลกเนื่องจากมีรสชาติที่ดีที่สุด
พันธุ์พิงค์เคอตัน (Pinkerton) ผลขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลค่อนข้างกลม น้ำหนักผล 200 – 300 กรัม เนื้อสีเหลืองอมเขียว เมล็ดใหญ่อยู่ในช่องเมล็ดแน่น เนื้อสีเหลืองอมเขียว รสชาติดี
2.เผ่าอินดีสตะวันตก ผิวผลเรียบเป็นมัน สีเขียวอมเหลือง เปลือกหนา เมล็ดอยู่ในโพรงเมล็ดอย่างหลวม ๆ รสหวานอ่อน ไขมันน้อย ชอบอากาศร้อน เช่น พันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson)
3.เผ่าเม็กซิโก ผลเล็กเรียบ เมื่อแก่สีม่วง เปลือกบางกว่าอีก 2 เผ่า เปลือกหุ้มเมล็ดบาง เมล็ดใหญ่อยู่ในโพรงเมล็ดอย่างหลวม ๆ มีไขมันมากที่สุด ทนอากาศเย็นได้ดีที่สุด
สำหรับประเทศไทยมีการนำอะโวคาโดมาปลูกครั้งแรกที่จังหวัดน่าน ก่อนจะแพร่ขยายไปทั่วประเทศในปัจจุบัน
อะโวคาโดสายพันธุ์ที่มีการปลูกในประเทศไทย
–พันธุ์แฮสส์ (Hass) ช่วงเก็บเกี่ยวผลเดือนธันวาคม –กุมภาพันธ์ ในประเทศไทยสามารถปลูกได้ผลค่อนข้างน้อยเพราะค่อนข้างอ่อนแอต่อโรคและแมลง ทำให้ราคาแม้จะปลูกในประเทศไทยแต่พันธ์แฮสส์ ยังคงมีราคาสูง
–บูธ 7 (Booth-7)
เหมาะปลูกในประเทศไทย ค่อนข้างทนต่อโรค ดูแลรักษาง่าย ออกผลดก และมีผลขนาดใหญ่ เหมาะที่จะขายในตลาดทั่วไป ตลาดท้องถิ่น ลักษณะผลค่อนข้างกลม ผลขนาดกลางน้ำหนักประมาณ 300-500 กรัม ผิวผลขรุขระ สีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน รสดี เมล็ดขนาดกลาง ติดอยู่ในช่องเมล็ดแน่น เมื่อสุกแก่จะมีรอยจุดสีน้ำตาล มีไขมัน 7-14 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเก็บเกี่ยวผลช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม
– ปีเตอร์สัน (Peterson)
ช่วงเก็บเกี่ยวผล กรกฎาคม – กันยายน เหมาะปลูกในประเทศไทย ข้อดีคือสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็ว ผลดก ปลูกและดูแลรักษาได้ง่าย เหมาะที่จะขายในตลาดทั่วไป ตลาดท้องถิ่น ไม่เหมาะที่จะส่งออก ราคา
– เฟอร์เออเต่ Fuerte
ผลรูปแพร์ ผิวขรุขระเล็กน้อย ผิวสีเขียวเข้ม เนื้อสีเหลืองครีม เมล็ดขนาดกลาง น้ำหนักผลประมาณ 150-300 กรัม รสดี ช่วงเก็บเกี่ยวผลเดือนตุลาคม – ธันวาคม ค่อนข้างอ่อนแอต่อโรค
-บัคคาเนียร์(Buccanear) เหมาะปลูกในประเทศไทยน้ำหนักผลระหว่าง 250-400 กรัม ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้ สีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยเกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล และเยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อข้างในสีจะออกเขียวเหลือง ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม
หลังจากได้ทราบถึงอะโวคาโด แต่ละพันธุ์กันแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะเลือกรับประทานพันธ์ไหน แต่ไม่ว่าจะรับประทานสายพันธุ์ไหนอะโวคาโด ทุกสายพันธุ์ ก็ให้ประโยชน์ต่อร่างกายล้นเหลือ ควรทานวันละไม่เกิน 1 ผล เพื่อสุขภาพที่ดี