เลือกอะโวคาโดอย่างไร ให้ไม่ผิดหวัง และมีสุขภาพดี

เลือกอะโวคาโดอย่างไร ให้ไม่ผิดหวัง และมีสุขภาพดี

เชื่อว่าการเลือกอะโวคาโด เป็นปัญหากวนใจว่าจะมีเทคนิคอะไรที่เราจะใช้ในการเลือกอะโวคาโดสด เรามีเคล็ดลับการเลือกอะโวคาโดมาฝาก

อะไรคือตัวบ่งชี้สำคัญว่าอะโวคาโดสุก พร้อมทาน? เป็น อาหารสุขภาพ ที่ดี

สี + ความรู้สึกเมื่อสัมผัส

โดยปกติชาวสวนจะไม่เก็บ อะโวคาโดสดที่ยังไม่สุกจากต้น หรือ “นิ่ม” หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ทั้งนี้อะโวคาโดสดมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปตามสายพันธ์ เช่น สายพันธ์ แฮส ,ปีเตอร์สัน ที่นิยมทานเมื่อสุกผิวจะเป็นสีน้ำตาลม่วงเกือบดำเข้มเมื่อสุกและผลจะเนิ่ม  แม้ว่าสีผิวจะช่วยในการเลือกอะโวคาโดสด แต่ก็ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความสุกที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะอะโวคาโดบาง สายพันธ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยแม้สุกแต่สีของอะโวคาโดไม่เปลี่ยนแปลง

ความแตกต่างของสีอะโวคาโด บอกอะไร?

เนื้อแน่นไม่สุก 
วันที่จะสุก: 4-5 วัน
หากอะโวคาโดไม่ยอมให้กดเบา ๆ ก็ถือว่ายัง“ แข็ง” และจะสุกในอีกไม่กี่วัน อะโวคาโดสดเนื้อแน่นที่ไม่สุกจะมีสีเขียวสดใส อะโวคาโดเนื้อแน่นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการซื้อไม่กี่วัน (ประมาณ 4 ถึง 5 วัน)  เคล็ดลับที่เร่งการสุกของอะโวคาโด แนะนำให้เก็บที่อุณหภูมิห้อง โดยวางในถุงกระดาษสีน้ำตาลพร้อมแอปเปิ้ลหรือกล้วย

เกือบสุก
วันที่จะสุก: 1-2 วัน
อะโวคาโดที่เกือบสุกอาจมีสีแตกต่างกันไปดังนั้นจึงควรเลือกตามความรู้สึกและสี การทุบอะโวคาโดจะให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลกว่า แต่จะไม่ค่อยให้ผลกับแรงกดที่นุ่มนวล หากตัดเมล็ดมักจะแกะออกได้ยากและเนื้อข้างในจะแน่นและบดยาก การทำให้อะโวคาโดสุกต้องใช้เวลาวันหรือสองวันที่อุณหภูมิห้อง

สุกพร้อมรับประทาน

วันที่จะสุก: 0 วัน
หากอะโวคาโดให้ผลกับแรงกดที่นุ่มนวลคุณจะรู้ว่ามันสุกและพร้อมรับประทาน อะโวคาโดสุกพร้อมรับประทานอาจมีสีเข้มกว่า แต่สีอาจแตกต่างกันไปดังนั้นควรเลือกตามความรู้สึกและสี จะให้ความรู้สึกเบา ๆ แต่จะไม่รู้สึก“ เละ” เมื่อสัมผัส ผลสุกพอดีสำหรับวันนั้น เก็บในตู้เย็นถ้าคุณวางแผนที่จะกินในหนึ่งหรือสองวันเพื่อป้องกันไม่ให้ผลไม้สุกเกินไปหรือบูดเสีย

สุกเกินไป
วันที่จะสุก: พ้นกำหนด (ต้องรีบทาน)
ผลไม้ที่สุกเกินไปจะรู้สึกอ่อน ๆ เมื่อสัมผัส อาจมีรอยบุ๋มลึกและมีเนื้อสีเหลืองเข้มหรือน้ำตาลเข้มตลอดผลไม้ด้านใน ผลไม้ที่สุกเกินไปจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวซึ่งบางคนบอกว่ามีกลิ่นเหมือน“ ฟักทอง”

วิธีเลือกอะโวคาโดที่ดีที่สุด

ขั้นตอนที่ 1 -ให้เปรียบเทียบกลุ่มของอะโวคาโดสดในตะกร้าที่วางขาย โดยให้ตรวจสอบสีภายนอกของผิวของอะโวคาโดว่ามีสีเข้มกว่าสีอื่น ๆ หรือไม่ สิ่งเหล่านี้อาจจะน่ากลัวกว่าอะโวคาโดสดที่มีผิวสีอ่อนกว่า ตรวจสอบผิวด้านนอกของอะโวคาโดว่ามีรอยบุ๋มขนาดใหญ่เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าผลไม้ช้ำ และหลีกเลี่ยงซื้ออะโวคาโดที่มีจุดด่างดำบนผิว

ขั้นตอนที่ 2 – วางอะโวคาโดลงในฝ่ามือของคุณ

ขั้นตอนที่ 3 – บีบเบาๆโดยไม่ต้องใช้ปลายนิ้วเพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำและตรวจสอบความแน่นของอะโวคาตามรายละเอียดข้างต้นที่กล่าวไปก็จะทำให้ทราบว่าอะโวคาโดผลนั้น สุก, เกือบสุก หรือสุกเกินไป

ทั้งนี้สีของอะโวคาโดที่บ่งบอกความสุกใช้ได้กับอะโวคาโดสายพันธ์จากต่างประเทศอาทิ พันธ์แฮสส์,พันธ์ปีเตอร์สัน เป็นต้น    แต่อะโวคาโดบางสายพันธ์สีอาจไม่ได้บ่งบอกถึงความสุกของอะโวคาโดเสมอไปแม้ผลสุกแต่สียังคงเดิม อาทิเช่น อะโวคาโดที่มีการปลูกในประเทศไทย อย่าง พันธุ์บัคคาเนียร์  และพันธุ์บูธ-7 วิธีเลือกคือให้ลองบีบที่ผล ถ้าสุก ผลจะนิ่ม  ถ้าผลนิ่มก็หมายถึงว่าพร้อมทาน ดังนั้นหากคุณไปเจออะโวคาโดที่วางขายในซูปเปอร์มาร์เก็ตให้ใช้วิธีดูสีและสัมผัสความนิ่มของผลคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นอะโวคาโดพันธ์ใดคุณได้อะโวคาโดผลสมบูรณ์ที่มีความสุกพอดี หรือยังไม่สุก กลับบ้านตามความต้องการของคุณ

ไม่ว่าจะเลือกอะโวคาโดพันธ์ใดก็ตามการทานอะโวคาโด วันละ 1 ผลช่วยบำรุงหัวใจ ,หลอดเลือด,มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังมีไขมันดี ไฟเบอร์สูง แถมด้วยวิตามินต่างๆที่สำคัญต่อร่างกาย