เคล็ดลับวิ่งยังไงให้ “ผอม” รู้แล้วบอกต่อ!

เคล็ดลับวิ่งยังไงให้ “ผอม” รู้แล้วบอกต่อ! หลายคนที่กำลังคิดอยากจะลดน้ำหนัก แต่ไม่แน่ใจว่าการวิ่งจะช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ เพราะมีบางคนบอกว่าวิ่งตอนแรกๆ น้ำหนักก็ลดลงแต่พอวิ่งนานวันเข้าน้ำหนักกลับไม่ยอมลดลงอีกเลยทำให้ในที่สุดก็ตัดใจเลิกวิ่งไป

อันที่จริงแล้วการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ต้องใช้กล้ามเนื้อพร้อมกันหลายส่วนทำให้ช่วยดึงพลังงานออกมาใช้ได้มากกว่าการออกกำลังกายประเภทอื่น แต่ทำไมเมื่อวิ่งไปนานๆ แล้วน้ำหนักกลับไม่ลดลงอีก คำตอบก็คือ เพราะว่าไม่ว่าจะออกกำลังกายประเภทไหน แต่ถ้าหากทำซ้ำแบบเดิมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ร่างกายก็จะเริ่มอยู่ตัวหรือชินจนไม่เกิดการพัฒนาอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อวิ่งไปได้สักระยะหนึ่งจนเริ่มอยู่ตัว ควรปรับวิธีในการวิ่งเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้นโดยมีเคล็ดลับดังนี้

1. เปลี่ยนระยะทางวิ่งหรือเปลี่ยนเวลาในการวิ่ง

เพราะถ้าหากวิ่งระยะทางเท่าเดิมเวลาเท่าเดิมร่างกายจะเรียนรู้วิธีการใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเพื่อที่จะวิ่งให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดจึงทำให้เกิดน้ำหนักคงที่ เช่น เดิมวิ่ง 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเปลี่ยนมาเป็นวิ่ง 7 กิโลเมตรชั่วโมง ก็สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ 2 เท่าเลย

2. วิ่งให้เร็วขึ้น ไกลขึ้น

เช่น ถ้าปกติคุณวิ่งอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ระยะทาง 5 กิโลเมตร ความเร็ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าอยากลดน้ำหนักลงไปอีกวิธีง่าย ๆ คือ การเร่งความเร็วขึ้นในระดับที่ร่างกายของคุณรับได้ หรือวิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่ยืดเวลาให้นานขึ้น โดยที่ตัวคุณไม่รู้สึกว่าลำบากหรือเหนื่อยจนเกินไป

3. วิ่งด้วยความเร็วที่เหมาะสมกับร่างกายของตัวเอง

จะเป็นการวิ่งลดน้ำหนักที่ดีที่สุดเพราะไม่ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากจนร่างกายรับไม่ไหวจึงจะทำให้สามารถเผาผลาญพลังงานได้ดี มากกว่าการวิ่งเร็วจนหายใจแทบไม่ทันซึ่งไม่ทำให้น้ำหนักลดลงแต่อย่างใด

4. วิ่งหลายรูปแบบผสมกัน

โดยไม่วิ่งแบบใดแบบหนึ่งนานเกินไป เช่น ในหนึ่งสัปดาห์วิ่งยาว (Long Runs) 2 วัน วิ่งเบาสลับหนัก (Interval) 2 วัน และวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ (Tempo Runs) 3 วัน ก็จะช่วยให้ร่างกายมีการพัฒนาและยังทำให้น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง

5. วิ่งแบบเบาสลับหนัก

จะช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะยาว เพราะการวิ่งธรรมดาจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้แค่ในช่วงที่วิ่งอยู่ แต่ถ้าวิ่งแบบเบาสลับหนัก ร่างกายจะเผาผลาญต่อหลังจากวิ่งเสร็จต่อไปอีกด้วย เช่น วิ่งความเร็วธรรมดา 1 กิโลเมตร สลับกับวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 10 วินาที สลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงระยะทางเป้าหมายที่กำหนด

6. วิ่งด้วยระยะเวลาที่เหมาะสม

การวิ่งระยะสั้น ร่างกายจะดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้เป็นพลังงานก่อนประมาณ 15 นาทีจากนั้นร่างกายถึงจะดึงส่วนของไขมันมาเผาผลาญ เพราะฉะนั้นหากหยุดวิ่งเร็วเกินไปไขมันจะถูกเผาผลาญได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้นควรมีระยะเวลาที่วิ่งอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน

7. วิ่งสม่ำเสมอ

โดยหาทางสายกลางของตัวเอง เช่น สัปดาห์ละ 3 วัน 5 วันหรือวันเว้นวันก็จะช่วยทำให้วิ่งได้อย่างยั่งยืนและเห็นผลลัพธ์ได้ในระยะยาวได้ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะลดน้ำหนัก อย่าหักโหมจนเกินไป เพราะจะทำให้รู้สึกเหนื่อย เบื่อ ท้อ และล้มเลิกไปในที่สุด

8. เวทเทรนนิ่งควบคู่ไปกับการวิ่ง
การเวทเทรนนิ่งช่วยฝึกฝนกล้ามเนื้อให้แข็งแรงหากทำอย่างถูกวิธีจะทำให้ร่างกายสมส่วน ช่วยเสริมความแข็งแรงเพิ่มมวลกล้ามเนื้อซึ่งเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนักเพราะกล้ามเนื้อยิ่งมีมากยิ่งเผาผลาญได้มาก แถมยังเผาผลาญได้อยู่ตลอดเวลาแม้ในขณะหลับ แล้วยังช่วยให้วิ่งได้อึดทนมากขึ้นด้วย

9. เปลี่ยนไปออกกำลังกายประเภทอื่น

อย่ายึดติดกับการวิ่งเพียงอย่างเดียว เพราะช่วยให้ร่างกายฝึกฝนหลายรูปแบบมากขึ้น ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ และยังช่วยให้ได้พักขาเป็นการฟื้นฟูร่างกาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

10. ใส่ชุดวิ่งที่เหมาะสม

ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ ปกติร่างกายจะเผาผลาญไขมันได้ดีมากที่สุดเมื่ออุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น 1 องศา ดังนั้นการเลือกเสื้อผ้าใส่วิ่งที่เหมาะสมสามารถระบายความร้อนได้ดีไม่ดูดซับเหงื่อมากเกินไปก็มีผลต่อการลดน้ำหนักได้เช่นกัน

11. ควบคุมอาหาร

หากวิ่งโดยไม่ควบคุมอาหารก็จะไม่ผอมแต่อย่างใด ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน น้ำตาลสูง ลดคาร์โบไฮเดรตลง เพิ่มโปรตีนและผักมากๆ และควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันจะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดียิ่งขึ้น

12. พักผ่อนให้เพียงพอ

เวลานอนหลับจะทำให้ร่างกายซ่อมแซมฟื้นฟูตัวเองได้เต็มที่ หากนอนน้อยเกินไปก็มีผลต่อการลดน้ำหนักเช่นเดียวกัน